Pink Bobblehead Bunny

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

Diary No. 7

วิชาการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )

อาจารย์ผู้สอน  อ. ตฤณ แจ่มถินวัน-เดือน-ปี 9-3-2559

เรียนครั้งที่  7  เวลาเรียน 08.30.- 12.30 น.



ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

8.  เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and Emotion Disorders)




  • มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ
  • แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
  • เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ไม่ได้
  • เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
  • ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

  • ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
  • ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต



การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ตามกลุ่มอาการ


1.ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)





  • ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
  • ฉุนเชียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
  • กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
  • เอะอะและหยาบคาย
  • หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
  • ใช้สารเสพติ
  • หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ


2. ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration)

  • จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
  • ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
  • งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด



-                   สมาธิสั้น (Attention Deficit)

  • มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่ง ได้ หยุกหยิกไปมา
  • พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
  • มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ



-                   การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)

  • หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
  • เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
  • ขาดความมั่นใน ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
* ไม่เคยมุ่งมั่นทำอะไรให้สำเร็จ

ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย (Function Disorder)





  • ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤิตกรรมการกิน (Eating Disorder)
  • การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
  • การปฏิเสธที่จะรับประทาน
  • รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
  • โรคอ้วน (Obesity)
  • ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)
ภาวะบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง






  • ขาดเหตุผลในการคิด
  • อาการหลงผิด (Delusion)
  • อาการประสาทหลอน (Hallucination)
  • พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
* คิดอะไรในหัวเยอะ

สาเหตุ

  • ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology) เช่น ความผิดปกติทางร่างกาย
  • ปัจจัยทางจิตสังคม (Psycho social) เช่น พ่อแม่ทำร้ายร่างกาย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก

  • ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
  • รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
  • มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
  • มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์
  • แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก

  • เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
  • เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)


เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) ADHD

วีดีโอเด็กสมาธิสั้น



   ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ

1.             Inattentiveness สมาธิสั้น
2.             Hyperactivity ซนอยู่ไม่นิ่ง
3.             Impulsiveness หุนหันพลันแล่น



Inattentiveness สมาธิสั้น

  •  ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
  • ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
  • มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
  • เด็กเล็กๆ จะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
  • เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity ซนอยู่ไม่นิ่ง

  • ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
  • เคลื่อนไวอยู่ตลอดเวลา
  • เหลียวซ้ายแลขวา
  • ยุกยิกแกะโน่นเกานี่
  • อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
  • นั่งไม่ติดที่
  • ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness หุนหันพลันแล่น

  • ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
  • ขาดความยับยั้งชั่งใจ
  • ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
  • ไม่อยู่ในกติกา
  • ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
  • พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
  • ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน
สาเหตุ

  • ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง เช่น โดปามีน (Dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine)
  • ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัวอยู่ที่สมองส่วนหน้า (Frontal Cortex)
  • พันธุกรรม
  • สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น

  • สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
 *เกิดจากการทำงานของสมอง


ยารักษาโรคสมาธิสั้นที่มีใช้ในประเทศไทย  มี 2 กลุ่มหลัก ๆ

1.  Methylphenidate(MPH) มีชื่อทางการค้าว่า  Ritalin - ริทาลิน  แต่ปัจจุบันยาตัวนี้ อย.งดสั่งจากต่างประเทศ  แต่จะสั่งยาที่ผลิตในประเทศ (Generic name)ที่มีราคาถูกกว่า Ritalin เล็กน้อย และ ใช้ชื่อทางการค้าว่า Methylpenidate เป็นยาเม็ดสีขาว  ขนาดเม็ดละ 10 มิลลิกรัม  แพทย์มักใช้ยาตัวนี้เป็นอันดับแรกเพราะออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลได้ชัดเจน  และ มีความปลอดภัยสูง  เด็กที่มีสมาธิสั้นร้อยละ 75-80  จะตอบสนองดีต่อยาตัวนี้  สมาธิของเด็กจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน  1-2  วันที่เริ่มรับประทานยา  แต่คุณแม่ที่ลูกเคยใช้ยาตัวแรก หรือ Ritalin มักไม่ค่อยชอบยาปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับยาตัวเก่า  ผลจะต่างกันมาก  เพราะเด็กมักจะมีอาการเหมอลอยและรับผิดชอบน้อยกว่าตัวเดิมมาก  บางรายเกิดอาการก้าวร้าว  น้ำลายไหล  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยก้าวร้าวหรือน้ำลายไหลมาก่อน  ทั้งนี้ทั้งนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะพิจารณาเรื่องนี้และหาวิธีการแก้ไข  โดยให้ทางเลือกแก่ผู้ใช้ยาและ ทั้ง สั่งยาตัวเดิมและยา generic name และ เพิ่มยาระยะยาว  โดยให้ยาทั้งหมด "ฟรี" แก่ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อให้เด็กที่พ่อแม่ยากจนได้มีโอกาสดีขึ้นจนถึงหายได้เหมือนลูกผู้มีฐานะ 
               นอกจาก  MPH  จะช่วยให้สมาธิของเด็กดีขึ้นแล้ว  ยังมีผลทำให้อาการซนอยู่ไม่นิ่งลดลง  อาการหุนหันพลันแล่นขาดความยั้งคิดก็ลดลงด้วย  การเปรียบเทียบเด็กที่ใช้ยานี้กับเด็กที่ใช้ยาเม็ดหลอกที่ไม่มีตัวยาผสมอยู่ (เรียกยาแบบนี้ว่า placebo)  พบว่าเด็กที่ใช้  MPH  จะมีอาการดีขึ้นในทุกด้าน  ผลการเรียนและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นก็ดีขึ้นด้วย
        ขนาดยาที่เริ่มให้ในเด็กทั่วไป คือ 0.3 มก./กก./วัน  ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี  แพทย์มักเริ่มให้ 5 มก.  ตอนเช้าวันละครั้ง  ถ้าไม่มีอาการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ  ก็เพิ่มขนาดที่ละ 2.5-5 มก. ทุก 2-3 วัน  จนได้ผลที่ต้องการ  โดยทั่วไปใช้ประมาณ 10-40 มก./วัน (ไม่ควรเกิน 1 มก./กก./วัน)
        ยานี้ออกฤทธิ์เพียงแต่ 4 ชั่วโมง  ฉะนั้น  บางรายที่มีอาการมาก นอกจากมื้อเช้าแล้ว  อาจต้องให้ตอนบ่ายอีก 1 มื้อ  เพื่อช่วยให้เด็กมีสมาธิเรียนหนังสือได้ทั้งวัน  ในเด็กที่มีอาการมากและไม่สามารถทำการบ้านในตอนเย็นได้เลย  ก็อาจให้มื้อเย็นเพิ่มอีก 1 มื้อ  แต่จะ ไม่ให้ยานี้แก่เด็กหลัง 4 โมงเย็น ไปแล้ว เพราะอาจทำให้เด็กนอนไม่หลับ
        ผลข้างเคียงที่สำคัญของ MPH คือ  ทำให้เบื่ออาหาร  น้ำหนักลด ปวดท้อง  ปวดหัว  คลื่นไส้  ท้องผูก  อารมณ์หงุดหงิด  แต่อาการเหล่านี้มักหายไปภายในสัปดาห์แรก เด็กบางคนอาจดูซึมเมื่อได้ยา  อย่างไรก็ตามการหยุดยาในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์หรือปิดเทอม  จะช่วยลดผลข้างเคียงนี้ได้  แต่ถ้าไม่มีผลข้างเคียง แพทย์ที่ชำนาญและเก่งมักให้รับประทานยาต่อเนื่องทุกวันเพราะอาการสมาธิสั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีวันหยุด
 อาการของเด็กที่ปรากฏขึ้นทุกกรณีควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรเพิ่มลด หรือ งดยาด้วยตนเอง


2.   Atomoxetine(Strattera) หรือ Clonidine การรักษาด้วยยาสมาธิสั้นควรจะเริ่มใช้ในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ในกรณีเด็กเล็ก แพทย์อาจจะพิจารณาใช้ยากลุ่มอื่นเพื่อช่วยในการควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ทดแทนข้อดีของยานี้ คือ ไม่ใช่ยาในกลุ่มกระตุ้นระบบประสาท


 


ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

  • อุจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
  • ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
  • ดูดนิ้ว กัดเล็บ
  • หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
  • เรียกร้องความสนใจ
  • อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
  • ขึ้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
  • ฝันกลางวัน
  • พูดเพ้อเจ้อ


 9. เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps)



วีดีโอแนวทางการพัฒนาเด็กพัฒนาการบกพร่องซ้ำซ้อน



  • เด็กที่มีความบกพร่องที่มากว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
  • เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
  • เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
  • เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
ลักษณะของเด็กพิการซ้อน

เด็กที่มีปัญหาพิการซ้อนอาจแสดงลักษณะได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะความซ้ำซ้อน (Combination) ความรุนแรงของความพิการ (Severity of Disabilities) รวมทั้งปัจจัยเรื่องอายุด้วย อย่างไรก็ตาม ลักษณะปัญหาที่พบได้บ่อย มักมีลักษณะดังนี้

ปัญหาด้านจิตใจ
  • มีความรู้สึกเหมือนถูกขับไล่ออกจากสังคม
  • ปลีกตัวจากสังคม
  • กลัว โกรธ และไม่พอใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเมื่อถูกบังคับ
  • ทำร้ายตัวเอง
ปัญหาด้านพฤติกรรม
  • ยังคงแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็กแม้จะโตขึ้น
  • ขาดความยับยั้งชั่งใจ
  • มีความยากลำบากในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • มีทักษะในการดูแลและพึ่งตัวเองที่จำกัด

ปัญหาด้านร่างกาย
  • มีความผิดปกติของร่างกาย (Medical problems) อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการชัก (Seizures) การสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Loss) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) และกระดูกสันหลังโค้ง (Scoliosis)
  • เชื่องช้าและงุ่มง่าม
  • มีความบกพร่องในการกระทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ปัญหาทางด้านการเรียนรู้
  • มีปัญหาในการคัดลายมือหรือเขียนหนังสืออันเนื่องมาจากความบกพร่องของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine-motor deficits) และปัญหาความไม่สัมพันธ์ของมือและตา
  • มีข้อจำกัดในการพูดและสื่อสาร
  • ลืมทักษะบางอย่างเมื่อไม่ได้ใช้
  • มีปัญหาในการเข้าใจ รับมือ หรือนำทักษะที่มีมาปรับใช้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
  • ขาดความคิดระดับสูง (High level thinking) ส่งผลให้มีปัญหาในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ
  • มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ต่ำ
  • มีระดับจินตนาการและความเข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรมอย่างจำกัด
  • มีผลการสอบระดับต่ำ
  • ไม่สามารถระบุตำแหน่งของแหล่งเกิดเสียงได้
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม
  • มีปัญหาในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ
สาเหตุความพิการซ้อน

มักเกิดจากความผิดปกติของสมอง ซึ่งส่งผลต่อกิจกรรมของระบบประสาทบางส่วน เช่น สติปัญญา (Intelligence) และความไวของประสาทสัมผัส (Sensory sensitivity) แม้ว่าในเด็กบางรายจะไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยรายที่สามารถระบุสาเหตุได้ มักพบว่าอาการพิการซ้อนเกิดจากปัจจัยทางชีวเคมีในช่วงก่อนกำเนิด (Prenatal Biomedical factors) หรือจากปัจจัยทางพันธุกรรม อันเนื่องมาจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ อาจเชื่อมโยงกับโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก (Genetic Metabolic Disorders) การทำหน้าที่ผิดปกติของอวัยวะในร่างกายในการสร้างเอนไซม์ (Dysfunction in production of enzymes) ซึ่งนำไปสู่การสะสมของสารพิษในสมอง และส่งผลให้สมองผิดปกติ (Brain Malformation)

สาเหตุและสัดส่วนของเด็กพิการซ้อน สามารถจำแนกได้ดังนี้
  • ร้อยละ 30 ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
  • ร้อยละ 15 เกิดจากปัจจัยในช่วงคลอด ซึ่งความบาดเจ็บจากการคลอดก่อให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญ
  • ร้อยละ 5 เกิดจากปัจจัยในช่วงหลังกำเนิด เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคสมองอักเสบ (Encephalitis) ภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) และจากอุบัติเหตุ เช่น ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 50 เกิดจากปัจจัยในช่วงก่อนเกิดกำเนิด ได้แก่ ความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ โรคหลอดเลือดสมองในตัวอ่อน รวมถึงโรคพยาธิสภาพในตัวอ่อน (Embryopathy) ซึ่งได้แก่ เชื้อไวรัสไซโตเมกาโล และเชื้อไวรัสเอดส์ เป็นต้น


ทักษะ  
- ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการแก้ปัญหา
- ทักษะการตอบคำถาม

การประยุกต์ใช้
      
              มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กสมาธิสั้นและเด็กพิการซ้ำซ้อนว่ามีลักษณะอาการอย่างไรและจะจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับตัวเด็ก

การประเมิน

           อาจารย์สอนสนุก มักมีเนื้อหาความรู้มาเพิ่มเติมเสมอ อาจารย์แต่งกายสุภาพเรียบร้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น