Pink Bobblehead Bunny

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

Diary No. 2

วิชาการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )

อาจารย์ผู้สอน  อ. ตฤณ แจ่มถิน วัน-เดือน-ปี 20-1-2559

เรียนครั้งที่  2  เวลาเรียน 08.30.- 12.30 น.


เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ

ความหมายของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ

     1. ทางการแพทย์     มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ"

หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจะเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
     2. ทางการศึกษา     
หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล

     สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
  • เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ
  • มีสาเหตุจากสภาพความ บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
  • จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด และฟื้นฟู
  • จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
พฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

พัฒนาการ
  • การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งตัวบุคคล
  • ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
  • เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
  • พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน หรือทุกด้าน
  • พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
  • ปัจจัยด้านชีวภาพ
  • ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด
  • ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
  • ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ

     1.พันธุกรรม เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิดมักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย เช่น Cleft Lip/Cleft Palate (ปากแหว่งเพดานโหว่), Albinism (เผือก), Neurofibromatosis (ท้าวแสนปม)
     2. โรคของระบบประสาท 
  • เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนกาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย
  • ที่พบบ่อยคืออาการชัก
     3. การติดเชื้อ
  • การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศรีษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก
  • นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
     4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม
  • โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณะสุขไทย คือ ไทยรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
     5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
  • การเกิดการกำหนด หน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน
     6. สารเคมี
  • ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด
  • มีอาการซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุด ๆ 
  • ภาวะตับเป็นพิษ
  • ระดับสติปัญญาต่ำ
     แอลกอฮอล์
  • มีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
  • มีอัตาการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก
  • พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง
  • เด็กบกพร่งทางพฤติกรรมและอารมณ์
เช่น Fetal alcohol syndrome, FAS 
  • ช่องตาสั้น
  • ร่องริมฝีปากบนเรียบ
  • ริมฝีปากบนยาวและบาง
  • หนังคลุมหัวตามาก
  • จมูกแบน
  • ปลายจมูกเชิดขึ้น
     นิโคติน
  • น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์
  • เพิมอัตราการตายในวัยทารก
  • สติปัญญาบกพร่อง
  • สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหาด้สนการเข้าสังคม
     7.การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
     8.สาเหตุอื่น ๆ 
  • อุบัติเหตุ
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
  • มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
  • ปฏิกิริยาสะท้อน (primitive reflex) ไม่หายไปแม้จะถึงช่วงอายุที่ควรหายไป ซึ่งจะหายไปในช่วงอายุ 1 ปี
แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
     1. การซักประวัติ
  • โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม
  • การเจ็บป่วยในครอบครัว
  • ประวัติฝากครรภ์
  • ประวัติเกี่ยวกับการคลอด
  • พัฒนาการที่ผ่านมา
  • การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง
  • ปัญหาพฤติกรรม
  • ประวัติอื่น ๆ 
เมื่อซักประวัติแล้วจะสามารถบอกได้ว่า
  • ลักษณะพัฒนาการล่าช้าเป็นแบบคงที่ หรือถดถอย
  • เด็กมีระดับพัฒนาการล่าช้าหรือไม่ อย่างไร อยู่ในระดับไหน
  • มีข้องบ่งชี้ว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
  • สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร
  • ขณะนี้เด็กได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างไร
     2. การตรวจร่างกาย
  • ตรวจร่างกายทั่ว ๆ ไปและการเจริญเติบโต
  • ภาวะตับม้ามโต
  • ผิวหนังระบบประสาทและวัดอบศีรษะด้วยเสมอ
  • ดูลักษณะของเด็กที่ถุกทารุณกรรม (child abuse)
  • ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
     3.การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ

     4. การประเมินพัฒนาการ
  • การประเมินแบบไม่เป็นทางการ
การประเมินที่ใช้เวชปฏิบัติ

 Denver II เป็นแบบทดสอบพัฒนาการเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ ๖ ปี สำหรับคัดกรองเด็กทั่วไปที่ไม่มีความผิดปกติ ไม่ได้เป็นแบบทดสอบเชาว์ปัญญา (IQ Test) ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อการวินิจฉัยว่าเด็กเป็นอะไร เช่น เป็นเด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ (Learning Disability) มีความผิดปกติทางการภาษา (Language disorder) หรือมีปัญหาทางอารมณ์ (Emotional disturbance) การทดสอบพัฒนาการแบบ Denver II นี้ เป็นการเปรียบเทียบความสามารถด้านต่างๆ กับเด็กปกติในวัยเดียวกันเท่านั้น
Denver II ประกอบด้วยข้อทดสอบ ๑๒๕ ข้อ แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ
๑. ด้านสังคมและการช่วยตนเอง หมายถึง การมีความสัมพันธ์และใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นๆ กับการดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวัน
๒. ด้านใช้กล้ามเนื้อเล็กและปรับตัว หมายถึง การทำงานประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อมือและตา การจัดการกับของชิ้นเล็ก และการแก้ไขปัญหา
๓. ด้านภาษา หมายถึง การได้ยิน ความเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา
๔. ด้านใช้กล้ามเนื้อใหญ่ หมายถึง การทรงตัว และการเคลื่อนร่างกาย เช่น การนั่ง การเดิน การกระโดด และการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใหญ่ทั้งหมด
นอกจากนี้หลังการทดสอบยังมีการบันทึกพฤติกรรมระหว่างทดสอบ ๕ ด้าน ซึ่งทำให้ผลการทดสอบเป็นประโยชน์และแม่นยำมากขึ้น ได้แก่
๑. เด็กเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ใช่ หรือ ไม่ใช่
๒. ความร่วมมือ ดีมาก พอควร หรือ น้อย
๓. ความสนใจสิ่งแวดล้อม สนใจดี สนใจบ้าง หรือ ไม่สนใจเลย
๔. ความกลัว ไม่กลัว กลัวเล็กน้อย หรือ กลัวมาก
๕. ระยะความสนใจ เหมาะสมกับวัย เบี่ยงเบนความสนใจค่อนข้างง่าย หรือ เบี่ยงเบนความสนใจง่ายมาก
พัฒนาการตามวัยและการทดสอบ
     พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพหรือประสิทธิภาพของการทำหน้าที่ การเฝ้าระวังพฤติกรรมพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ ๖ ปี
     เพื่อจะได้ทราบว่าเด็กมีระดับความสามารถด้านต่างๆ เป็นอย่างไร สมวัยหรือไม่เพื่อจะได้แนะนำบิดามารดา ผู้เลี้ยงดูให้อบรมเลี้ยงดูและจัดสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมกับความสนใจและความสามารถของเด็ก ทำให้เกิดโอกาสเรียนรู้และพัฒนาได้ครบทุกด้านอย่างสมดุลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและสังคม เด็กจะได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ในกรณีที่พบว่าเด็กมีพัฒนาการผิดปกติ จะได้ตรวจวินิจฉัยช่วยเหลือแก้ไขแต่เริ่มแรก
     สำหรับการทดสอบพัฒนาเพื่อคัดกรองอย่างเป็นระบบ (Developmental screening) จะต้องใช้เครื่องมือทดสอบคัดกรองพัฒนาการที่มีมาตรฐาน ผู้ทดสอบจะต้องได้รับการอบรมและผ่านการรับรองว่าเข้าใจเนื้อหาสาระพัฒนาการเด็ก สามารถทดสอบและสังเกตพฤติกรรมของเด็กและแปลผลอย่างถูกต้องตามคู่มือการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน ผู้เขียนต้องขอขอบคุณสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้เปิดโอกาสให้ครูได้รับการฝึกอบรมการใช้ DENVER II ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากที่ครูได้นำไปใช้สำรวจพัฒนาการของเด็กได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เพื่อให้เด็กแต่ละคนได้รับการดูแลเอาใจใส่ ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ที่สมวัย ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนเป็นไปได้อย่างราบรื่น ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัยก็จะได้รับการช่วยเหลือทันท่วงทีอย่างถูกต้องและเหมาะสม หากทุกโรงเรียนได้นำกระบวนการนี้ไปใช้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งกับตัวเด็กเองและโรงเรียนในที่สุด




ให้เด็กวาดรูปตามแบบที่กำหนด ซึ่งเป็นความสามารถด้านกล้ามเนื้อมือ และการประสานงานของตากับมือ ตามระดับอายุที่ควรจะเป็น


รูปที่ 1 ....เป็นความสามารถของเด็ก 2 ปี
รูปที่ 2 ....เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปี
รูปที่ 3 ....เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปีครึ่ง
รูปที่ 4 ....เป็นความสามารถของเด็ก 4 ปี
รูปที่ 5 ....เป็นความสามารถของเด็ก 5 ปี
รูปที่ 6 ....เป็นความสามารถของเด็ก 6 ปี
รูปที่ 7 ....เป็นความสามารถของเด็ก 7 ปี
รูปที่ 8 ....เป็นความสามารถของเด็ก 8 ปี
รูปที่ 9 ....เป็นความสามารถของเด็ก 9 ปี
รูปที่ 10 ...เป็นความสามารถของเด็ก 11 ปี
รูปที่ 11....เป็นความสามารถของเด็ก 12 ปี
วิธีการ
ให้เด็กดูแบบแล้ววาด (ควรขยายขนาดเพิ่มให้จากรูปที่แนบมา) โดยที่เราไม่ได้วาดให้ดู เด้กสามารถวาดซ้ำได้ในแต่ละรูป ให้ผ่านถ้ารูปที่วาด สมบูรณ์ใกล้เคียงกับรูปต้นแบบ
ความสามารถด้านกล้ามเนื้อมือ และการประสานงานของตากับมือ เป็นทักษะที่บ่งชี้ถึงระดับสติปัญญาหรืออายุสมองได้แบบคร่าวๆ
ยกตัวอย่าง...
  • หากลูกของเราอายุจริง 8 ปี แต่สามารถวาดรูปได้ถึงรูปที่ 7 โดยที่รูปที่ 8 เป็นต้นไปวาดไม่ได้หรือไม่สมบูรณ์ แสดงว่าอายุสมองของลูกอยู่ที่ระดับ 7 ปี เป็นต้น

หมายเหตุ..
  • การทดสอบนี้เป็นวิธีคัดกรองแบบหยาบๆเท่านั้น ไม่ได้บอกระดับ IQ ที่แท้จริง เพราะวัดเฉพาะความสามารถของกล้ามเนื้อมือ ดังนั้น ถ้าลูกทำไม่ได้ก็ไม่ต้องตกใจ แต่ลองฝึกฝนลูกเรื่องกล้ามเนื้อมือให้มากขึ้นหรือถ้าลูกมีปัญหาการเรียนหรือพัฒนาการร่วมด้วย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

# หมอไปป์ แฮปปี้คิดส์








ความรู้ที่ได้รับ 
  • เกี่ยวกับโรคและสาเหตุของโรคต่างๆที่เกี่ยวกับเด็กที่มีความบกพร่องหรือเด็กพิเศษมีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบ้าง และมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย มีการให้เด็กทำกิจกรรมระหว่างเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น